วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ประวัติอำเภอห้วยทับทัน


ปราสาท


ข่าวประชาสัมพันธ์ 

          ประกาศรับสมัคประกาศรับสมัครนักศึกษา (นอกราชการ) สาขาการบริหารและการพัฒนาชุมชน คลิกเพื่อดูรายละเอียด



            เดิมน่าจะชื่อ "ห้วยทัพทัน" เพราะมีความหมายสอดคล้องตำนานเมืองศรีสะเกษมากกว่า แต่ในปัจจุบันเพี้ยนมาเป็น "ห้วยทับทัน" จากตำนานที่ว่า สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีของไทย เมื่อพระเจ้าเอกทัศเสวยราชสมบัติอยู่นั้น ได้เกิดอาเพศช้างเผือกแตกโรงหนี แล้วมุ่งหน้ามาทางทิศตะวันออก มาถึงเขตดินแดนเขมรป่าดง (เขตจังหวัดศรีสะเกษและสุรินทร์ปัจจุบัน) พระเจ้าเอกทัศทรงให้ทหารนายกองออกตามจับช้างเผือก ขบวนทหารร่วมกับหัวหน้ากลุ่มชนชาวเขมรป่าดงที่ชำนาญการจับช้าง ออกตามจับช้างจน "มาทัน" ที่ลำธารแห่งหนึ่งปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอห้วยทับทัน จึงเห็นตัวช้างแต่ยังจับไม่ได้ ชาวบ้านจึงเรียกชื่อลำธารที่นายกองจับช้างตามมาทันนั้นว่า ห้วยทัพทัน เพราะกองทัพตามจับช้างมาทันที่นั่น ช้างเผือกวิ่งหนีเลยไปทางทิศใต้ด้านเขาพนมดงรัก จึงไล่ติดตามจนจับช้างเผือกได้ที่เชิงเขาพนมดงรัก ในเขตอำเภอกันทรลักษ์ปัจจุบัน เมื่อนำช้างเผือกมาถึงหมู่บ้านใหญ่บ้านหนึ่งซึ่งเป็นตัวเมืองศรีสะเกษปัจจุบัน ช้างเผือกได้ล้มป่วยลง พอรักษาพยาบาลช้างจนหายแล้วจึงออกเดินทางนำช้างเผือกส่งถึงกรุงศรีอยุธยา ชาวบ้านเป็นชาวส่วยจึงเรียกหมู่บ้านนั้นว่า "บ้านเจียงอี" (ภาษาส่วย แปลว่า "บ้านช้างป่วย") สืบมา และวัดในหมู่บ้านจึงได้ชื่อว่า "วัดเจียงอี"


ปราสาทห้วยทับทัน (ปราสาทบ้านปราสาท หรือ ปราสาทบ้านโนนธาตุ) ตั้งอยู่ที่วัดปราสาทพนาราม บ้านปราสาท หมู่ที่ 12 ตำบลปราสาท อำเภอห้วยทับทัน จังหวัดศรีสะเกษอยู่ห่างจากตัวจังหวัดศรีสะเกษ ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 226 ประมาณ 39 กิโลเมตร ถึงตัวอำเภอห้วยทับทัน เลี้ยวขวาไปตามทางหลวงชนบทอีกประมาณ 8 กิโลเมตร
ปราสาทบ้านโนนธาตุ สร้างขึ้นตามความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ เป็นศิลปกรรมร่วมสมัยแบบปาปวน ปราสาทแห่งนี้ถูกสร้างบูรณะมาแล้ว 3 ยุค สังเกตได้จากอิฐที่เรียงก้อนกัน
ปราสาทห้วยทับทัน สร้างขึ้นตั้งแต่ครั้งสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ทรงครองราชย์ ราวพุทธศตวรรษที่ 16 ใช้เป็นที่ประดิษฐาน เทพเจ้าตีมูรติ เป็นปราสาทขอมโบราณแห่งหนี่งที่ถูกดัดแปลงในสมัยหลัง เช่นเดียวกับปราสาทศรีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ โดยเฉพาะส่วนหลังคา ซึ่งมีลักษณะคล้ายกัน แต่มีขนาดสูงกว่า ประกอบด้วยปรางค์อิฐ 3 องค์ ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงเดียวกันในแนวเหนือ-ใต้ มีกำแพงล้อมรอบพร้อมซุ้มประตู ก่อด้วยศิลาแลง โดยมีการสันนิษฐานว่ามี 3 หรือ 4 ประตู แต่ในปัจจุบันคงเหลือให้เห็นเพียงด้านทิศใต้เท่านั้น
ปรางค์องค์กลาง ขนาดใหญ่กว่าปรางค์ที่ขนาบข้างทั้ง 2 องค์ เล็กน้อย แต่ส่วนหลังคาเตี้ยกว่า เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมุมไม้สิบสอง มีประตูเดียวด้านหน้า ทางทิศตะวันออกมีกรอบประตูหินทราย และทับหลังติดอยู่ เป็นภาพบุคคลยืนอยู่เหนือหน้ากาล ส่วนท่อนพวงมาลัย มีลายมาแบ่งที่ภาพบุคคลยืนในคุ้มเรือนแก้ว ซึ่งไม่สามารถสันนิษฐานได้ว่าเป็นผู้ใด ด้วยลายสลักยังไม่แล้วเสร็จ
ปรางค์ขนาบข้างสององค์ ได้รับการดัดแปลงรูปแบบไป โดยเฉพาะส่วนหลังคาและประตู ซึ่งก่อทึบหมดทุกด้าน ยังคงปรากฏกรอบประตูหินทรายและชิ้นส่วนทับหลัง สลักภาพการกวนเกษียรสมุทร ตกอยู่หน้าประตูปรางค์องค์ที่อยู่ด้านทิศใต้เที่ยวชุมชนไทยย Thailand